โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ
“โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ”
โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา
ภายใต้แนวทางพัฒนา
ยางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
ยางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
1. วัตถุประสงค์โครงการ
1.1 เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการลงทุนแก่สถาบันเกษตรกร นำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต/ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว และ/หรือลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่ในการแปรรูปยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า
1.1 เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการลงทุนแก่สถาบันเกษตรกร นำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต/ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว และ/หรือลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่ในการแปรรูปยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า
1.2 เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรในการแปรรูปยางพารา
1.3
เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการเชื่อมโยงธุรกิจต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ
ในกระบวนการสหกรณ์
2. คุณสมบัติของผู้กู้
2.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
1) เป็นสถาบันเกษตรกรที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ให้รวมถึงกลุ่มเกษตรกรที่จดทะเบียนตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยกลุ่มเกษตรกร พ.ศ. 2547 และผู้กู้ต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 20 26 และ 31 ต้องไม่มีการทุจริตหรือข้อบกพร่องในการดำเนินงานที่เป็นสาระสำคัญ หรือถ้ามี สถาบันเกษตรกรต้องดำเนินการแก้ไขจนเป็นที่พอใจของธนาคารแล้ว(ข้อบกพร่องที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่ ทุจริต ปิดบัญชีไม่ได้ภายใน 150 วันนับแต่วันสิ้นสุดบัญชีโดยเกิดจากข้อบกพร่องของสถาบันเกษตรกรเอง ขาดทุนสะสมเกินกว่า 3 ปีบัญชี ขาดทุนเกินกึ่งหนึ่งของทุนเรือนหุ้นมีบัญชีเจ้าหนี้เงินกู้มากกว่าลูกหนี้เงินกู้ มีผลการดำเนินงานขาดทุนติดต่อกัน 3 ปี
2) ปัจจุบันสถาบันเกษตรกรยังดำเนินธุรกิจแปรรูปยางอย่างต่อเนื่อง
3) มีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น โรงงานแปรรูปยางแท่ง โรงงานยางแผ่นรมควัน ยางอัดก้อน โรงงานยางคอมปาวด์ โรงงานน้ำยางข้น โรงงานยางเครป โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป มีอาคารสถานที่สำหรับเก็บรักษาผลิตผลการเกษตรที่เหมาะสม มั่นคง แข็งแรง ฯลฯ
4) คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ของสถาบันเกษตรกรให้ความร่วมมือกับธนาคารด้วยดีเสมอมา
5) สถาบันเกษตรกรต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระกับธนาคาร
2.2 กรณีวิสาหกิจชุมชน
1) เป็นวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2547 และผู้กู้ต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 45 กรณีวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพาราต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 45
2) ปัจจุบันยังดำเนินธุรกิจแปรรูปยางอย่างต่อเนื่อง
3) มีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เหมาะสมกับธุรกิจ
4) คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ของวิสาหกิจชุมชนและองค์กรวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพาราให้ความร่วมมือกับธนาคารด้วยดีเสมอมา
5) วิสาหกิจชุมชน องค์กรวิสาหกิจที่ทำธุรกิจยางพาราต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระกับธนาคาร
2.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
1) เป็นสถาบันเกษตรกรที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ให้รวมถึงกลุ่มเกษตรกรที่จดทะเบียนตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยกลุ่มเกษตรกร พ.ศ. 2547 และผู้กู้ต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 20 26 และ 31 ต้องไม่มีการทุจริตหรือข้อบกพร่องในการดำเนินงานที่เป็นสาระสำคัญ หรือถ้ามี สถาบันเกษตรกรต้องดำเนินการแก้ไขจนเป็นที่พอใจของธนาคารแล้ว(ข้อบกพร่องที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่ ทุจริต ปิดบัญชีไม่ได้ภายใน 150 วันนับแต่วันสิ้นสุดบัญชีโดยเกิดจากข้อบกพร่องของสถาบันเกษตรกรเอง ขาดทุนสะสมเกินกว่า 3 ปีบัญชี ขาดทุนเกินกึ่งหนึ่งของทุนเรือนหุ้นมีบัญชีเจ้าหนี้เงินกู้มากกว่าลูกหนี้เงินกู้ มีผลการดำเนินงานขาดทุนติดต่อกัน 3 ปี
2) ปัจจุบันสถาบันเกษตรกรยังดำเนินธุรกิจแปรรูปยางอย่างต่อเนื่อง
3) มีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น โรงงานแปรรูปยางแท่ง โรงงานยางแผ่นรมควัน ยางอัดก้อน โรงงานยางคอมปาวด์ โรงงานน้ำยางข้น โรงงานยางเครป โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป มีอาคารสถานที่สำหรับเก็บรักษาผลิตผลการเกษตรที่เหมาะสม มั่นคง แข็งแรง ฯลฯ
4) คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ของสถาบันเกษตรกรให้ความร่วมมือกับธนาคารด้วยดีเสมอมา
5) สถาบันเกษตรกรต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระกับธนาคาร
2.2 กรณีวิสาหกิจชุมชน
1) เป็นวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2547 และผู้กู้ต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 45 กรณีวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพาราต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 45
2) ปัจจุบันยังดำเนินธุรกิจแปรรูปยางอย่างต่อเนื่อง
3) มีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เหมาะสมกับธุรกิจ
4) คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ของวิสาหกิจชุมชนและองค์กรวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพาราให้ความร่วมมือกับธนาคารด้วยดีเสมอมา
5) วิสาหกิจชุมชน องค์กรวิสาหกิจที่ทำธุรกิจยางพาราต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระกับธนาคาร
3. วัตถุประสงค์การกู้เงิน
สำหรับสหกรณ์ภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน
1) วัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าลงทุนนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต/เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว และ/หรือลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่ในเพิ่มมูลค่า วงเงินสินเชื่อ 3,500 ล้านบาท
2) วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมและรับซื้อวัตถุดิบป้อนโรงงาน วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ สหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรที่กู้เงินตามข้อบังคับฉบับที่ 26 เพื่อเป็นค่าลงทุน และการกู้เงินตามข้อบังคับฉบับที่ 20 ข้อ 4(2) และข้อบังคับฉบับที่ 31 ข้อ 2(3) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่กู้เงินตามข้อบังคับฉบับที่ 45
4. อัตราดอกเบี้ย
4.1 สินเชื่อเพื่อเป็นค่าลงทุน วงเงินสินเชื่อ 3,500 ล้านบาท
1) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2567
กำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR – 1.50 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.00 ต่อปี) คิดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ภาคการเกษตรในอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 และกองทุนพัฒนาสหกรณ์สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สหกรณ์ภาคการเกษตรร้อยละ 0.49 ต่อปี
2) กรณีกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2567กำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR – 1.50 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.00 ต่อปี) คิดดอกเบี้ยจากกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49
4.1 สินเชื่อเพื่อเป็นค่าลงทุน วงเงินสินเชื่อ 3,500 ล้านบาท
1) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2567
กำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR – 1.50 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.00 ต่อปี) คิดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ภาคการเกษตรในอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 และกองทุนพัฒนาสหกรณ์สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สหกรณ์ภาคการเกษตรร้อยละ 0.49 ต่อปี
2) กรณีกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2567กำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR – 1.50 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.00 ต่อปี) คิดดอกเบี้ยจากกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49
4.2 สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน
วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท
1) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2562 คิดดอกเบี้ยจากสถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ 1 รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49
2) กรณีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2558 – 31 สิงหาคม 2562 คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 1.00 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49 ต่อปี
1) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2562 คิดดอกเบี้ยจากสถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ 1 รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49
2) กรณีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2558 – 31 สิงหาคม 2562 คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 1.00 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49 ต่อปี
5. Market Code ผลิตภัณฑ์
5.1 สินเชื่อเพื่อเป็นค่าลงทุน
Market Code 1824 : สหกรณ์ภาคการเกษตร
Market Code 2059 : กลุ่มเกษตรกร
Market Code 2060 : วิสาหกิจชุมชน
5.2 สินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียน Market Code 1825 : สหกรณ์ภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน
6. วงเงินกู้ขั้นสูง
6.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
วงเงินกู้ตามโครงการฯนี้ให้พิจารณาแยกวงเงินต่างหากจากวงเงินกู้ปกติของสถาบันเกษตรกรและเมื่อรวมกับวงเงินกู้อื่นตามสัญญากู้เงินเดิมในวัตถุประสงค์การใช้เงินกู้เดียวกันทั้งหมดและวงเงินกู้ตามข้อบังคับฉบับอื่นหรือเจ้าหนี้เงินกู้อื่นหรือเงินรับฝากจากสหกรณ์อื่นและบุคคลภายนอกแล้ว ต้องไม่เกินวงเงินกู้ยืมหรือค้ำประกันประจำปีที่นายทะเบียนสหกรณ์
เห็นชอบปีล่าสุด
6.2 กรณีวิสาหกิจชุมชน
วงเงินกู้ตามโครงการฯนี้ให้พิจารณาแยกวงเงินต่างหากจากวงเงินกู้ปกติของวิสาหกิจชุมชนและองค์กรวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพารา และเมื่อรวมกับวงเงินกู้อื่นตามสัญญากู้เงินเดิมต้องไม่เกิน 20 เท่าแห่งทุนตนเองตามข้อบังคับฉบับที่ 45
7. ระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้
7.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
1) เพื่อเป็นค่าลงทุน กำหนดชำระไม่เกิน 10 งวด ปลอดชำระต้นเงินกู้ได้ไม่เกิน 2 งวด คือ งวดที่ 1 และงวดที่ 2 แต่ต้องส่งชำระดอกเบี้ยเงินกู้ทุกปี
- ช่วงระยะปีที 1 ถึงปีที่ 2 สถาบันเกษตรกรจะปลอดชำระต้นเงินกู้ แต่ต้องชำระดอกเบี้ย
เงินกู้ทุกปี
- ปีที่ 3–4 สถาบันเกษตรกรต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 5–6 สถาบันเกษตรกรต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 7–8 สถาบันเกษตรกรต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 9–10 สถาบันเกษตรกรต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของต้นเงินกู้ยืม
2) เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน กำหนดให้ผู้กู้ต้องชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้แต่ละรายให้เสร็จสิ้นไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันเบิกรับเงินกู้ แต่ทั้งนี้ต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นไม่เกินวันที่ 31 สิงหาคม 2562
7.2 กรณีวิสาหกิจชุมชน
1) เพื่อเป็นค่าลงทุนกำหนดชำระไม่เกิน 9 งวด ดังนี้
- ช่วงระยะปีที 1 ถึงปีที่ 2 ผู้กู้จะปลอดชำระต้นเงินกู้ แต่ต้องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ทุกปี
- ปีที่ 3–4 ผู้กู้ต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 5–6 ผู้กู้ต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 7–8 ผู้กู้ต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 9 ผู้กู้ต้องชำระคืนต้นเงินกู้ร้อยละ 40 ของต้นเงินกู้ยืม
2) เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน กำหนดให้ผู้กู้ต้องชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้แต่ละรายให้เสร็จสิ้นไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันเบิกรับเงินกู้ แต่ทั้งนี้ต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นไม่เกินวันที่ 31สิงหาคม 2562
8. หลักประกันเงินกู้
8.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
1. การกู้เงินตามข้อบังคับฉบับที่ 26 ข้อ 13 หลักประกันเงินกู้ ผู้กู้ต้องปฏิบัติดังนี้
บรรดาอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ตามกฎหมาย ซึ่งผู้กู้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยใช้เงินกู้ตามข้อบังคับนี้ ให้ผู้กู้จำนองแก่ธนาคารเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้จากธนาคารทั้งสิ้น การจำนองดังกล่าวต้องเป็นการจำนองลำดับแรก ทั้งนี้ ผู้กู้ต้องจัดให้เสร็จภายในเวลาที่ผู้จัดการกำหนด
2. การกู้เงินตามข้อบังคับฉบับที่ 20 ข้อ 4(2) หรือ ข้อบังคับฉบับที่ 31 ข้อ 2(3)
2.1) มีอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้จำนองต่อเจ้าหนี้อื่น
2.2) มีผลิตผลการเกษตรมาเป็นหลักประกันการชำระหนี้เงินกู้แก่ธนาคาร โดยจำนวนเงินกู้ในเวลาใดก็ตามต้องไม่เกินร้อยละแปดสิบแห่งราคาประเมินของผลิตผลที่นำมาเป็นหลักประกัน
3. มีหลักประกันอื่นตามที่ผู้จัดการธนาคารกำหนดเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล เงินฝาก เครื่องจักร ฯลฯในกรณีที่สถาบันเกษตรกรผู้กู้ไม่สามารถจัดให้มีหลักประกันตาม (1 – 3) ได้ ให้ผู้มีอำนาจอนุมัติเงินกู้มีอำนาจผ่อนผันให้สถาบันเกษตรกรผู้กู้ไม่ต้องมีหลักประกัน แต่ต้องให้คณะกรรมการดำเนินการและผู้จัดการของสถาบันเกษตรกรผู้กู้ทั้งหมดจัดทำหนังสือค้ำประกันตามแบบที่ธนาคารกำหนดในฐานะส่วนตัวเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้
8.2
กรณีวิสาหกิจชุมชน
ใช้หลักประกันเงินกู้เป็นไปตามข้อบังคับฉบับที่ 45 (ว่าด้วยสินเชื่อกลุ่มบุคคล) กรณีใช้หลักประกันบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมขนาดย่อม (บสย.) ให้ถือใช้ตามบันทึกที่ สพป/76999 ลงวันที่ 23 กันยายน 2558 ยกเว้นกรณี ใช้หลักประกัน คณะกรรมการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเป็นผู้ค้ำประกัน กู้ได้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้แยกต่างหากจากหลักประกันตามสัญญากู้ปกติของธนาคาร
ใช้หลักประกันเงินกู้เป็นไปตามข้อบังคับฉบับที่ 45 (ว่าด้วยสินเชื่อกลุ่มบุคคล) กรณีใช้หลักประกันบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมขนาดย่อม (บสย.) ให้ถือใช้ตามบันทึกที่ สพป/76999 ลงวันที่ 23 กันยายน 2558 ยกเว้นกรณี ใช้หลักประกัน คณะกรรมการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเป็นผู้ค้ำประกัน กู้ได้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ให้แยกต่างหากจากหลักประกันตามสัญญากู้ปกติของธนาคาร
9. เป้าหมายและระยะเวลาการดำเนินโครงการ
สหกรณ์ภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
9.1 เป้าหมาย ดำเนินการในพื้นที่ดำเนินงานของสาขาทั่วประเทศ
สหกรณ์ภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
9.1 เป้าหมาย ดำเนินการในพื้นที่ดำเนินงานของสาขาทั่วประเทศ
9.2 ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 ถึงวันที่ 31
สิงหาคม 2567
10. ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามบันทึก
- บันทึกด่วนที่ ฝสส/78150 ลงวันที่ 18 กันยายน 2557
- บันทึกด่วนที่ ฝสช/36294 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2561
- บันทึกด่วนที่ ฝสส/78150 ลงวันที่ 18 กันยายน 2557
- บันทึกด่วนที่ ฝสช/36294 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2561
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น