โครงการสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise Credit) สำหรับผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) และสหกรณ์

โครงการสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise Credit) สำหรับผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) และสหกรณ์



Market Code    
     2149, 2150 และ 2151

หลักการและเหตุผล

     เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) และสหกรณ์ ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและเป็นการเชื่อมโยงด้านการเงินให้ลูกค้าที่อยู่ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม (Value Chain Financing) แบบครบวงจรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) สินค้าเกษตร รวมทั้งเป็นการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเจริญเติบโตและเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

เป้าหมายและระยะเวลาดำเนินโครงการ    

     1. วงเงินสินเชื่อรวม 1,500 ล้านบาท
     2. ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 และสิ้นสุดการจ่ายเงินกู้วันที่ 31 มีนาคม 2566

พื้นที่ดำเนินโครงการ      

     ทุกสาขาทั่วประเทศ

คุณสมบัติของผู้กู้   
        
     ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) ที่ขึ้นทะเบียนและขอกู้เงินตามข้อบังคับฉบับที่ 45 หรือสหกรณ์ที่ขึ้นทะเบียนและขอกู้เงินตามข้อบังคับฉบับที่ 26 31 หรือ 46  ทั้งนี้ ผู้ขอกู้เงินต้องมีคุณลักษณะและต้องดำเนินการหรือมีเอกสารประกอบ  ดังนี้
     1. กรณีเป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchisor) ต้องผ่านการอบรมจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ หรือจากส่วนงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
     2. กรณีเป็นผู้ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์(Franchisee) ต้องผ่านการอนุมัติได้รับสิทธิ์จากผู้ให้สิทธิ์แฟรนไชส์ (Franchisor) ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว
     3. กรณีเป็นผู้แทนหรือตัวแทนเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิหรือลิขสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจแทนเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์โดยตรง ซึ่งผู้แทนหรือตัวแทนต้องมีหน้าที่ ดูแล จัดหา ควบคุมกำกับ ผู้ได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ให้ดำเนินธุรกิจตามที่กำหนดตลอดจนต้องเป็นผู้ที่แสดงให้ธนาคารเห็นว่ามีศักยภาพและเชื่อมั่นในความสามารถเป็นผู้แทนหรือตัวแทนได้ดี ดังนั้น ระยะเริ่มต้นโครงการนี้จะสนับสนุนสินเชื่อกรณีที่เป็นผู้แทนหรือตัวแทนเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ได้เฉพาะสหกรณเท่านั้น

วัตถุประสงค์การกู้เงิน     

     1. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวกับแฟรนไชส์ เช่น ค่าเช่าที่ดินและหรืออาคารเป็นรายเดือน/รายปี ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์รายเดือน ค่าธรรมเนียมการตลาด ค่าวัตถุดิบ ค่าจ้างแรงงานค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโฆษณา ค่าขนส่งและค่าบริการ เป็นต้น
     2. เพื่อเป็นค่าลงทุนในกิจการที่เกี่ยวกับแฟรนไชส์ เช่น ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์แรกเข้าพร้อมค่าอุปกรณ์ ค่าลงทุนก่อสร้าง ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมหรือตกแต่งอาคารหรือร้าน เป็นต้น

วงเงินกู้ขั้นสูง     

เป็นไปตามแต่ละข้อบังคับของธนาคาร

ระยะเวลาชำระเงินกู้       

     1. เงินกู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหรือเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ ให้กำหนดชำระคืนตามที่มาแห่งรายได้ โดยปกติให้ชำระเสร็จภายใน 12 เดือน นับแต่วันกู้ เว้นแต่มีเหตุพิเศษไม่เกิน 18 เดือน นับแต่วันกู้
     2. เงินกู้เพื่อเป็นค่าลงทุนในกิจการ ให้กำหนดระยะเวลาชำระคืนเป็นงวดรายเดือน หรือรายไตรมาส  ตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ โดยให้ชำระหนี้คืนเสร็จไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันกู้

อัตราดอกเบี้ย   

     อัตรา MLR (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 5 ต่อปี) ตลอดอายุโครงการและอายุสัญญากู้เงิน

หลักประกันเงินกู้        
                
     กำหนดให้ผู้กู้ใช้หลักประกันเงินกู้เป็นไปตามข้อบังคับและวิธีปฏิบัติปกติของธนาคารเป็นลำดับแรก เว้นแต่ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) ที่มีเหตุอันควรผ่อนผันให้สามารถใช้หลักประกันเกณฑ์ลดหย่อน ดังนี้
          1)  กรณีใช้ที่ดินหรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ตั้งของอาคารหรือร้านค้าที่ทำธุรกิจแฟรนไชส์จำนองเป็นประกันหนี้ เมื่อรวมกับวงเงินกู้ทุกสัญญาที่ใช้หลักประกันประเภทนี้แล้ว ให้กู้ได้ไม่เกินร้อยละ 90 ของวงเงินจดทะเบียนจำนอง เว้นแต่ กรณีใช้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง (ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย) หรือที่ดินที่มีการสลักหลังห้ามโอนภายใน 10 ปีจำนองเป็นประกันหนี้ หรือใช้ที่ดิน ส.ป.ก. หรือที่ดินพร้อมเครื่องจักรเป็นประกันหนี้ ให้เป็นไปตามวิธีปฏิบัติปกติของธนาคาร       
          2) กรณีใช้บุคคล 2 คนขึ้นไปค้ำประกันเงินกู้ เมื่อรวมกับวงเงินทุกสัญญาที่ใช้หลักประกันประเภทเดียวกันนี้แล้ว ให้กู้ได้ไม่เกิน 300,000 บาท                       
          3) กรณีที่ใช้หลักประกันเงินฝากและหรือจำนองแล้วไม่เพียงพอและธุรกิจนั้นเป็นไปตามเงื่อนไขของการค้ำประกันกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้สามารถใช้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อตามโครงการได้และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ปกติของธนาคาร


ตัวอย่างแฟรนไชส์ "โคขุนปิ้งย่าง" สกต.สกลนคร


     ประเทศไทยมีเกษตรกรที่เลี้ยงโคเนื้อประมาณ 800,000 ราย จำนวนโคเนื้อ 4.4 ล้านตัว โดย  ธ.ก.ส. ได้อำนวยสินเชื่อแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อจำนวน 682,529 ราย  จำนวนเงิน 81,273 ล้านบาท และยังได้ดูแลเกษตรกรที่มีอาชีพเชื่อมโยงในห่วงโซ่การเลี้ยงโคเนื้อ ได้แก่ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ผู้ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และปลูกหญ้าเนเปียร์อีกกว่า 100,000 ราย จำนวนเงินให้สินเชื่อกว่า 10,000 ล้านบาท ในส่วนของการเลี้ยงโคขุนคุณภาพ  ธ.ก.ส. ได้อำนวยสินเชื่อแก่เกษตรกรจำนวน 173,588 ราย (เป็นเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย 52,000 ราย) จำนวนสินเชื่อ 17,885 ล้านบาท
     เพื่อช่วยเหลือสหกรณ์ผู้ผลิตโคเนื้อคุณภาพและเกษตรกรที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต   ธ.ก.ส.ได้ร่วมกับเครือข่ายเข้าไปพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยที่เลี้ยงโคเนื้อคุณภาพ การเชื่อมโยงด้านการตลาด  เพื่อให้สามารถจำหน่ายเนื้อได้ทั้งชิ้นส่วนหลักและชิ้นส่วนรอง การจัดทำตราสินค้าโคเนื้อคุณภาพ ( A-Beef)  การเชื่อมโยงสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) เช่น สกต.สกลนคร จำกัด  ให้เป็นจุดรวบรวมกระจายสินค้า (HUB) และจุดตัดแต่งเนื้อ  รวมถึงเป็นผู้แทนการทำแฟรนไชส์  A-Beef  ซึ่งช่วยสร้างอาชีพให้กับผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่สนใจ  ให้มีรายได้เฉลี่ยเดือนละกว่า 30,000 บาท




















ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รับซื้อลดเช็คผลิตผล(อ้อย) และเช็คค่าบำรุงอ้อย(เช็คเกี๊ยว)

โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ