โครงการสนับสนุนการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานของสถาบันเกษตรกร (ดย.)
โครงการสนับสนุนการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานของสถาบันเกษตรกร (ดย.)
1. รายละเอียดผลิตภัณฑ์ (Market Code 1530)
สนับสนุนสินเชื่อแก่สหกรณ์ภาคการเกษตร เพื่อขยายปริมาณธุรกิจหรือเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสมาชิกร่วมถึงการขยายฐานลูกค้าสถาบันเกษตรกรที่ใช้แหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินอื่นหรือรับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินจากสหกรณ์อื่นให้กลับมาใช้สินเชื่อจากธนาคารอย่างต่อเนื่องวงเงินสินเชื่อตามโครงการ
จำนวน 50,000 ล้านบาท ประกอบด้วย
1) โครงการสนับสนุนการขยายฐานลูกค้าสถาบันเกษตรกรที่ใช้แหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินอื่นหรือสหกรณ์ ให้กลับมาใช้บริการสินเชื่อจากธนาคาร ตามข้อบังคับ ฉ.31 ข้อ 2(1) (เป็นทุนให้สมาชิกู้) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้เฉพาะลูกค้ารายเดิม
2) โครงการสนับสนุนการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพ การทำธุรกิจเพิ่มมูลค่าให้กับสมาชิกสถาบันเกษตรกร ตามข้อบังคับฉบับที่ 31 ข้อ 2(2) , ข้อ 2(3) และฉบับที่ 26 (จัดหาวัสดุการเกษตร รวมรวมผลิตผลฯ และ เงินลงทุนระยะยาว) วงเงินรวม 40,000 ล้านบาท
1) โครงการสนับสนุนการขยายฐานลูกค้าสถาบันเกษตรกรที่ใช้แหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินอื่นหรือสหกรณ์ ให้กลับมาใช้บริการสินเชื่อจากธนาคาร ตามข้อบังคับ ฉ.31 ข้อ 2(1) (เป็นทุนให้สมาชิกู้) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้เฉพาะลูกค้ารายเดิม
2) โครงการสนับสนุนการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพ การทำธุรกิจเพิ่มมูลค่าให้กับสมาชิกสถาบันเกษตรกร ตามข้อบังคับฉบับที่ 31 ข้อ 2(2) , ข้อ 2(3) และฉบับที่ 26 (จัดหาวัสดุการเกษตร รวมรวมผลิตผลฯ และ เงินลงทุนระยะยาว) วงเงินรวม 40,000 ล้านบาท
2. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สหกรณ์ภาคการเกษตร
3. คุณสมบัติผู้กู้
1) เป็นสหกรณ์ภาคการเกษตร ที่จดทะเบียนตาม พรบ.สหกรณ์ พ.ศ. 2542 และมีลักษณะตามข้อบังคับ ฉ.26 และ ฉ.31
2) จัดทำบัญชีถูกต้องเป็นปัจจุบัน ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายหรือกฎระเบียบกำหนด
3) มีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และมีสินทรัพย์สินเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานเพียงพอและเหมาะสมกับธุรกิจ
4) ต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระหรือหนี้ NPLs กับธนาคาร
5) ไม่เคยถูกฟ้องร้องและมีคำพิพากษาเป็นฝ่ายผิดเกี่ยวกับเงิน ถูกอายัดทรัพย์ ถูกสั่งเลิกสหกรณ์ หรือถูกศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ
6) ไม่มีข้อบกพร่องที่เป็นสาระสำคัญ ดังนี้
6.1) ปิดบัญชีไม่ได้ภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นสุดปีบัญชี โดยเกิดจากข้อบกพร่องของสถาบันเกษตรกร
6.2) ทุจริต และถูกธนาคารระงับการจ่ายเงินกู้
6.3) เจ้าหนี้มากกว่าลูกหนี้เงินกู้
6.4) ขาดทุนสะสมติดต่อกันเกิน 3 ปี
6.5) ขาดทุนเกินกึ่งหนึ่งของทุนเรือนหุ้น
กรณีมีปัญหาการดำเนินงาน ตามข้อ 6.4), 6.5) โดยมีสาเหตุจากเหตุสุจริตและจำเป็น เช่น ประสบภัยธรรมชาติ หรือภัยพิบัติอย่างร้ายแรง ประสบปัญหาการผลิต การตลาด ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สถาบันเกษตรกรต้องจัดแผนการแก้ไขและป้องกัน ปัญหาการดำเนินงานดังกล่าวและมีแผนธุรกิจชัดเจนเสนอให้ผู้อนุมัติเงินกู้พิจารณาเป็นรายๆ ไป
7) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตรที่ขอกู้เงิน เพื่อเป็นทุนให้สมาชิกกู้ ธนาคารให้การสนับสนุนเฉพาะสถาบันเกษตรกรที่ไปใช้แหล่งเงินจากสถาบันการเงินอื่นหรือสหกรณ์ และให้เฉพาะลูกค้ารายเดิมเท่านั้น
2) จัดทำบัญชีถูกต้องเป็นปัจจุบัน ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายหรือกฎระเบียบกำหนด
3) มีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และมีสินทรัพย์สินเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานเพียงพอและเหมาะสมกับธุรกิจ
4) ต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระหรือหนี้ NPLs กับธนาคาร
5) ไม่เคยถูกฟ้องร้องและมีคำพิพากษาเป็นฝ่ายผิดเกี่ยวกับเงิน ถูกอายัดทรัพย์ ถูกสั่งเลิกสหกรณ์ หรือถูกศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ
6) ไม่มีข้อบกพร่องที่เป็นสาระสำคัญ ดังนี้
6.1) ปิดบัญชีไม่ได้ภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นสุดปีบัญชี โดยเกิดจากข้อบกพร่องของสถาบันเกษตรกร
6.2) ทุจริต และถูกธนาคารระงับการจ่ายเงินกู้
6.3) เจ้าหนี้มากกว่าลูกหนี้เงินกู้
6.4) ขาดทุนสะสมติดต่อกันเกิน 3 ปี
6.5) ขาดทุนเกินกึ่งหนึ่งของทุนเรือนหุ้น
กรณีมีปัญหาการดำเนินงาน ตามข้อ 6.4), 6.5) โดยมีสาเหตุจากเหตุสุจริตและจำเป็น เช่น ประสบภัยธรรมชาติ หรือภัยพิบัติอย่างร้ายแรง ประสบปัญหาการผลิต การตลาด ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สถาบันเกษตรกรต้องจัดแผนการแก้ไขและป้องกัน ปัญหาการดำเนินงานดังกล่าวและมีแผนธุรกิจชัดเจนเสนอให้ผู้อนุมัติเงินกู้พิจารณาเป็นรายๆ ไป
7) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตรที่ขอกู้เงิน เพื่อเป็นทุนให้สมาชิกกู้ ธนาคารให้การสนับสนุนเฉพาะสถาบันเกษตรกรที่ไปใช้แหล่งเงินจากสถาบันการเงินอื่นหรือสหกรณ์ และให้เฉพาะลูกค้ารายเดิมเท่านั้น
4. จุดเด่นผลิตภัณฑ์และบริการ
1) ช่วยเหลือและสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรในการดำเนินธุรกิจ
2)
สนับสนุนและส่งเสริมการเชื่อมโยงธุรกิจ SMAEs เกษตร
3) ส่งเสริมพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานของสถาบันเกษตรกร
4)
จูงใจลูกค้าเดิมที่ใช้แหล่งเงินทุนอื่นกลับมาใช้บริการของธนาคาร
5. ระยะเวลาดำเนินโครงการ
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 25656. การแจ้งเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการให้บริการ หรือการแจ้งเตือนที่สำคัญต่าง ๆ
1)
ให้สถาบันเกษตรกรผู้กู้เสนอแผนธุรกิจในการดำเนินการขยายธุรกิจ
แผนการเบิกรับเงินกู้และส่งชำระหนี้คืน
พร้อมเอกสารประกอบคำขอกู้เงินตามที่โครงการกำหนด ห้ามไม่ให้สถาบันเกษตรกรเบิกเงินกู้ตามโครงการนี้
และไปชำระหนี้เงินกู้ ธ.ก.ส
ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า
2) กรณีสถาบันเกษตรกรที่ขอกู้เงินเพื่อเป็นทุนสำหรับให้สมาชิกกู้เงิน วงเงินสนับสนุนสินเชื่อไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ให้การสนับสนุนเฉพาะสหกรณ์การเกษตรลูกค้าที่ไปใช้แหล่งเงินจากสถาบันการเงินอื่นหรือสหกรณ์เท่านั้น โดยจะต้องมีเอกสารหลักฐานในการประกอบการพิจารณาเงินกู้ทุกครั้ง และให้เฉพาะลูกค้ารายเดิมเท่านั้น
3) สาขาต้องจัดการประเมินปัจจัยความเสี่ยงตามวิธีปฏิบัติปกติธนาคาร ให้กับผู้กู้ทุกรายแล้วนำผลคะแนนที่ได้ไปเปรียบเทียบกับตารางกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการเพื่อใช้กำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้กู้
4) ให้สาขาพึงระมัดระวัง ติดตามให้สถาบันเกษตรกรนำเงินกู้ไปใช้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแผนธุรกิจที่เสนอต่อธนาคาร
โดยขอให้สาขาสอบทานข้อมูลการดำเนินธุรกิจ ฐานะความมั่นคงทางการเงินและรายงานของผู้ตรวจสอบกิจการ หรือผู้สอบบัญชีสหกรณ์
เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้กู้และติดตามกำกับหลังการให้กู้
5) การให้กู้วัตถุประสงค์เพื่อลดการพึ่งพิงแหล่งเงินทุนอื่น ก่อนเบิกรับเงินกู้ให้สถาบันเกษตรกรจัดให้มีหลักประกันเงินกู้ตามที่
ธนาคารกำหนด ทั้งนี้หลักประกันที่สถาบันเกษตรกรใช้ค้ำประกันเงินกู้ยืมหรือการรับฝากเงินกับแหล่งเงินทุนอื่น ให้สาขาติดตามกำกับ
สถาบันเกษตรกรให้เพิ่มเติมหลักประกันในวันเบิกรับเงินกู้หรือในโอกาสแรกที่สามารถดำเนินการได้
6) ในส่วนอื่นที่มิได้กำหนดไว้ ให้ปฏิบัติตามคู่มือการปฏิบัติงานสินเชื่อด้านสถาบันเกษตรกรปกติของธนาคาร และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง
2) กรณีสถาบันเกษตรกรที่ขอกู้เงินเพื่อเป็นทุนสำหรับให้สมาชิกกู้เงิน วงเงินสนับสนุนสินเชื่อไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ให้การสนับสนุนเฉพาะสหกรณ์การเกษตรลูกค้าที่ไปใช้แหล่งเงินจากสถาบันการเงินอื่นหรือสหกรณ์เท่านั้น โดยจะต้องมีเอกสารหลักฐานในการประกอบการพิจารณาเงินกู้ทุกครั้ง และให้เฉพาะลูกค้ารายเดิมเท่านั้น
3) สาขาต้องจัดการประเมินปัจจัยความเสี่ยงตามวิธีปฏิบัติปกติธนาคาร ให้กับผู้กู้ทุกรายแล้วนำผลคะแนนที่ได้ไปเปรียบเทียบกับตารางกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการเพื่อใช้กำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้กู้
4) ให้สาขาพึงระมัดระวัง ติดตามให้สถาบันเกษตรกรนำเงินกู้ไปใช้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแผนธุรกิจที่เสนอต่อธนาคาร
โดยขอให้สาขาสอบทานข้อมูลการดำเนินธุรกิจ ฐานะความมั่นคงทางการเงินและรายงานของผู้ตรวจสอบกิจการ หรือผู้สอบบัญชีสหกรณ์
เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้กู้และติดตามกำกับหลังการให้กู้
5) การให้กู้วัตถุประสงค์เพื่อลดการพึ่งพิงแหล่งเงินทุนอื่น ก่อนเบิกรับเงินกู้ให้สถาบันเกษตรกรจัดให้มีหลักประกันเงินกู้ตามที่
ธนาคารกำหนด ทั้งนี้หลักประกันที่สถาบันเกษตรกรใช้ค้ำประกันเงินกู้ยืมหรือการรับฝากเงินกับแหล่งเงินทุนอื่น ให้สาขาติดตามกำกับ
สถาบันเกษตรกรให้เพิ่มเติมหลักประกันในวันเบิกรับเงินกู้หรือในโอกาสแรกที่สามารถดำเนินการได้
6) ในส่วนอื่นที่มิได้กำหนดไว้ ให้ปฏิบัติตามคู่มือการปฏิบัติงานสินเชื่อด้านสถาบันเกษตรกรปกติของธนาคาร และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง
7. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้
กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ต่ำกว่า
MLR – 1 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR = ร้อยละ 5 ต่อปี)
โดยสถาบันเกษตรกร
จะต้องผ่านการประเมินประเมินปัจจัยความเสี่ยงเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยก่อนและถือใช้อัตราดอกเบี้ยตามโครงการ ดังนี้
จะต้องผ่านการประเมินประเมินปัจจัยความเสี่ยงเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยก่อนและถือใช้อัตราดอกเบี้ยตามโครงการ ดังนี้
8. อ้างอิงแหล่งข้อมูล
ฝสส/17231 ลงวันที่ 28 ก.พ.62 และ ฝสส/22270 ลงวันที่ 15 มี.ค.62
9. ช่องทางในการติดต่อผู้ออกผลิตภัณฑ์/ส่วนงานที่รับผิดชอบ
กลุ่มงานสินเชื่อสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร
ฝ่ายสินเชื่อผู้ประกอบการและสถาบัน (ฝสส.)
Wan. 6816 , 6819, 6824, 6827
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น